สถานที่ท่องเที่ยว

สถานที่ท่องเที่ยวจังหวัดแม่ฮ่องสอน





1. วัดพระธาตุดอยกองมู

           ตั้งอยู่บนดอยกองมูทางทิศตะวันตกของตัวเมืองแม่ฮ่องสอน เดิมชื่อ "วัดปลายดอย" เป็นปูชนียสถานศักดิ์สิทธิ์คู่บ้านคู่เมืองที่สำคัญ ประกอบไปด้วยพระธาตุเจดีย์ทรงเครื่องแบบมอญ 2 องค์ และวิหารพระศิลปะไทใหญ่ เจดีย์องค์พี่สร้างเมื่อ พ.ศ. 2403 โดยจองต่องสู่ พ่อค้าชาวไต ภายในบรรจุพระธาตุของพระมหาโมคคัลลานะเถระ ซึ่งอัญเชิญมาจากพม่า ส่วนองค์น้องสร้างโดยพญาสิงหนาทราชา เจ้าเมืองแม่ฮ่องสอนท่านแรก ฐานเจดีย์ประดิษฐานพระพุทธรูปประจำวันเกิดปางต่าง ๆ เป็นที่เคารพสักการะของพุทธศาสนิกชนมาช้านาน นอกจากกราบขอพรเพื่อเป็นสิริมงคลแล้ว ยังสามารถชมวิวตัวเมืองแม่ฮ่องสอนในมุมสูงที่สุด            

           



2. วัดก้ำก่อ

           ตั้งอยู่ฝั่งตรงข้ามกับวัดพระนอน เป็นวัดเก่าแก่คู่บ้านคู่เมืองแม่ฮ่องสอน เดิมตั้งอยู่บริเวณเชิงพระธาตุดอยกองมูทางทิศใต้ ต่อมาได้ย้ายมาตั้งทางทิศตะวันออก เพื่อให้ใกล้แหล่งชุมชนและสะดวกสบายในการไปมาหาสู่มากกว่าเดิม มีสถาปัตยกรรมไทใหญ่ ที่สร้างโดยฝีมือของช่างชาวไทใหญ่ที่เข้ามาอาศัยและศรัทธาในวัดนี้ นับเป็นศูนย์รวมใจชาวแม่ฮ่องสอนมานานกว่า 123 ปี โดดเด่นด้วยปากทางเข้าที่ถูกขนาบข้างด้วยสิงห์ขาว 2 ตัว ที่เรียกว่า "ส่างหว่าง" หรือซุ้มประตูทอดยาวไปยังศาลาการเปรียญ ชายหลังคาถูกประดับประดาด้วยสังกะสีฉลุลาย ภายในประดิษฐานพระพุทธรูปเก่าแก่ อีกทั้งยังเป็นที่เก็บรักษาตำราประวัติศาสตร์ที่เขียนด้วยภาษาไต (ไทใหญ่) ไว้ด้วย


3. วัดจองคำ-วัดจองกลาง

          "วัดจองคำ" ตั้งอยู่บริเวณหนองจองคำ ถือเป็นพุทธสถานแห่งแรกของเมืองแม่ฮ่องสอน โดดเด่นด้วยหลังคาวัดรูปทรงปราสาท 9 ชั้น กราบขอพรหลวงพ่อโตองค์ใหญ่ที่สุดในแม่ฮ่องสอน ตลอดจนขอพรองค์พระศรีศากยมุนีจำลอง นอกจากนี้ยังสามารถเข้าชมภาพจิตรกรรมฝาผนังในพระอุโบสถหลังคาทรงเจดีย์ 5 ยอด พร้อมสักการะพระเจดีย์ทรงเครื่องศิลปะมอญที่มียอดฉัตรประดับงานปูนปั้นฉาบสีทองอร่ามตา เมื่อเวลาเงาตกกระทบกับน้ำหนองจองคำมองแล้วสวยงดงามมาก

          "วัดจองกลาง" ตั้งอยู่ภายในรั้วเดียวกันกับวัดจองคำ ภายในวิหารมีแท่นบูชาตั้งพระพุทธสิหิงค์จำลอง ปิดทองเหลืองอร่ามไปทั้งองค์ และสามารถเข้าไปชมตุ๊กตาไม้แกะสลักเรื่องพระเวสสันดรชาดกจากประเทศพม่า ซึ่งนำมาจากพม่าตั้งแต่ พ.ศ. 2400 และภาพกระจกเขียนสี ตลอดจนภาพแสดงชีวิตความเป็นอยู่ของคนสมัยนั้นโดยฝีมือช่างชาวไทใหญ่ และองค์พระอินทร์สานจากหวาย



       4. ปางอุ๋ง

           ที่ได้รับสมญาว่า "สวิตเซอร์แลนด์แดนสามหมอก"  นับเป็นสถานที่ท่องเที่ยวที่สำคัญอีกแห่งหนึ่ง "ปางอุ๋ง" ชื่อเต็ม ๆ ว่า โครงการพระราชดำริปางตอง 2 (ปางอุ๋ง) โครงการในพระราชดำริของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว และสมเด็จพระราชินี ตั้งอยู่บนเนินเขาสูงจากระดับน้ำทะเลปานกลางประมาณ 1,200 เมตร ณ บ้านรวมไทย ภายใต้การดูแลของสำนักงานบริหารจัดการพื้นที่ป่าอนุรักษ์ที่ 16 (แม่สะเรียง) กรมอุทยานแห่งชาติสัตว์ป่าและพันธุ์พืช

           เดิมทีเคยเป็นสถานที่ปลูกฝิ่นของชาวเขา ต่อมาได้รับการพัฒนาตามทฤษฎีสวนแบบปางอุ๋ง จนกลายมาเป็น "สวรรค์บนดิน" อันอุดมสมบูรณ์ด้วยพืชสมุนไพร พันธุ์ไม้ดอกไม้ประดับเมืองหนาวหลากหลายสีสัน ตลอดจนดงสนสองใบที่เติบโตเรียงรายตลอดแนวอ่างเก็บน้ำปางตอง ที่ถือเป็นจุดที่นักท่องเที่ยวนิยมเก็บภาพประทับใจ ยิ่งในยามที่แสงอาทิตย์สาดส่องผ่านทิวสนลงมาเป็นลำ ๆ จะช่วยเพิ่มความงดงามและความโรแมนติกมากยิ่งขึ้นสมชื่อสวรรค์บนดินเสียจริง ๆ จึงไม่แปลกใจที่ถูกนำไปเป็นฉากประทับใจในหนังหลาย ๆ เรื่อง สภาพอากาศก็เย็นสบายตลอดทั้งปี ยิ่งโดยเฉพาะในฤดูหนาวนักท่องเที่ยวจะเข้ามาเก็บบรรยากาศความโรแมนติกและดื่มด่ำกับธรรมชาติอันสวยงามที่มีไอหมอกลอยอยู่เหนือทะเลสาบกันแห่งนี้กันอย่างมีความสุข



5. ภูโคลน คันทรีคลับ

      "ภูโคลน คันทรีคลับ" ณ โป่งเดือดแม่สะงาเป็นโคลนได้รับการจัดอันดับให้เป็นแหล่งโคลนสุขภาพของเมืองไทย และเป็นแหล่งโคลน 1 ใน 3 แหล่ง ของโลกที่มีแร่ธาตุหลักที่เหมือนกันรองจากทะเลสาบเดดซี และโคลนภูเขาไฟจากประเทศโรมาเนีย จากโครงการ Unseen in Thailand และ Spa in Paradise ของการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย โดยเป็นโคลนเดือดบริสุทธิ์สีดำที่มาจากสายน้ำแร่ใต้ดินที่สะอาด และไม่มีกลิ่นของกำมะถัน ซึ่งอุดมไปด้วยแร่ธาตุที่เป็นประโยชน์ต่อผิวหนังและระบบไหลเวียนโลหิตของมนุษย์ สามารถดูดซับสารพิษตกค้าง ล้างความมันส่วนเกินบนใบหน้า สิ่งสกปรกที่อุดตันตามผิวหนังอันเป็นสาเหตุของการเกิดสิวและรอบหมองคล้ำ นอกจากนี้ยังมีผลิตภัณฑ์ดูแลความงามอีกมากมาย อาทิ โคลนผงพอกหน้า โลชั่นน้ำแร่ สบู่ภูโคลน ครีมอาบน้ำสครับ


6. อุทยานแห่งชาติถ้ำปลา-น้ำตกผาเสื่อ
          ถ้ำปลาตั้งอยู่บริเวณเชิงเขามีลักษณะเป็นแอ่งน้ำขนาดใหญ่กว้างประมาณ 2 เมตร ลึก 1.50 เมตร ภายในแอ่งน้ำมีน้ำไหลออกจากถ้ำใต้ภูเขาอยู่ตลอดเวลา และที่สำคัญมีปลาตัวโต ๆ สีเทาอมฟ้านับพันตัว ปลาชนิดนี้มีชื่อว่า "ปลามุง" หรือ "ปลาคัง" เป็นปลาที่มีเกล็ดขนาดใหญ่ ในวงศ์เดียวกับปลาคาร์พ มีความเชื่อว่าเป็นปลาเจ้า หากใครนำไปรับประทานแล้วจะต้องมีอันเป็นไป และ "น้ำตกผาเสื่อ" ที่ตั้งอยู่ในเขตตำบลหมอกจำแป่ น้ำตกแห่งนี้ไหลลงมาจากน้ำตกแม่สะงาในพม่า เป็นน้ำตกขนาดกลางสูงประมาณ 10 เมตร กว้าง 15 เมตร ในฤดูฝนสายน้ำตกจะปกคลุมเต็มหน้าผาหินกว้าง ซึ่งมีลักษณะคล้ายเสื่อปูลาด มีน้ำตลอดปี โดยช่วงที่เหมาะสมในการไปท่องเที่ยว คือ เดือนกรกฎาคมถึงเดือนกันยายน



7. บ้านน้ำเพียงดิน

           ตั้งอยู่ในเขตตำบลผาบ่อง บริเวณริมน้ำปาย จึงทำให้เป็นหมู่บ้านที่นักท่องเที่ยวนิยมล่องเรือเพื่อชมวิถีชีวิตความเป็นอยู่ของชาวกะเหรี่ยง โดยจะใช้เวลาล่องเรือทั้งไปและกลับประมาณ 1-2 ชั่วโมง ตลอดเส้นทางที่ล่องเรือไปตามลำน้ำจะผ่านระลอกน้ำที่ลดระดับลดหลั่นกันไปคล้ายธารน้ำตก และยังได้ชมความงดงามของทิวทัศน์สองข้างทางที่เป็นทุ่งนาและป่าเขา นับว่าเป็นทัศนียภาพที่งดงามแปลกตาหาดูได้ยาก โดยจุดเด่นของบ้านน้ำเพียงดิน คือ วิถีชีวิตของชาวปาด่อง (กะเหรี่ยงคอยาว) ที่อพยพจากฝั่งประเทศพม่าเข้ามาอยู่ในไทย ก่อนที่จะแยกไปอยู่ที่บ้านน้ำเพียงดินและบ้านในสอย โดยจะมีการแต่งกาย ดังนี้ ผู้ชายจะสวมกางเกงขายาว เสื้อตัวสั้น และมีผ้าโพกศีรษะ ส่วนผู้หญิงจะสวมเสื้อทรงกระบอกสีขาวยาวถึงสะโพก กระโปรงสีดำยาวถึงเข่า ไว้ผมหน้าม้า มีผ้าแถบโพกศีรษะ สวมห่วงคอทองเหลืองเพื่อป้องกันภูตผีปีศาจ และกันการแต่งงานข้ามเผ่า ชาวปาดองมีนิสัยสุภาพเรียบร้อย ยิ้มแย้มแจ่มใส สะอาดเป็นระเบียบ นอกจากนี้ภายในหมู่บ้านยังมีของที่ระลึกจำหน่ายให้กับนักท่องเที่ยวและไปสัมผัสวิถีชีวิตชาวกระเหรี่ยง


8. บ้านม้งไมโครเวฟ

          "บ้านม้งไมโครเวฟ" คือ ยอดดอยที่สูงมากจนมีบริษัทของรัฐและเอกชนมาตั้งเสาสัญญาณเพื่อกระจายคลื่นความถี่สูง หรือ "ไมโครเวฟ" (Microwave) หมู่บ้านนี้มีอีกชื่อคือ "บ้านยอดดอย" เพราะตั้งอยู่บนยอดดอย ก่อนหน้าถูกเรียกว่า "บ้านแม้วไมโครเวฟ" ชาวเขาเผ่าม้งมีความเป็นอยู่แบบเรียบง่ายและรักษาขนบธรรมเนียมประเพณีอย่างเคร่งครัด ส่วนใหญ่ประกอบอาชีพเกษตรกรรมปลูกผักกะหล่ำปลี ที่ดอยแห่งนี้มีอากาศที่หนาวเย็น หน้าหนาวนับว่าเป็นอีกแหล่งที่น่ามาสัมผัสเป็นอย่างมาก สิ่งที่น่าสนใจ คือ มีทะเลหมอกขนาดใหญ่ครอบคลุมเกือบรอบทิศสวยงามจับใจ


9. สะพานซูตองเป้

           "ซูตองเป้" เป็นภาษาไทยใหญ่ มีความหมายว่า "ความสำเร็จ" สะพานแห่งนี้นับว่าเป็นสะพานไม้ไผ่ที่ยาวที่สุดในประเทศไทย สร้างจากพลังศรัทธาของชาวบ้านกุงไม้สักที่ลงแรงแข็งขันกันบริจาคเสาไม้เก่า ไม้ไผ่ และกำลังทรัพย์ ร่วมกับ พระปลัดจิตตพัฒน์ อัคคปัญโญ ประธานสงฆ์สวนธรรมภูสมะ และคณะพุทธศาสนิกชน โดยใช้เวลาสร้างเพียง 2 เดือน สะพานมีความกว้าง 2 เมตร ยาวประมาณ 500 เมตร ทอดผ่านท้องนาของชาวบ้านและแม่น้ำแม่สะงา แม่น้ำสายเล็ก ๆ ซึ่งเส้นทางของสะพานได้เชื่อมต่อระหว่างสวนธรรมภูสมะและหมู่บ้านกุงไม้สัก เพื่อใช้เป็นเส้นทางสัญจรไปมาของชาวบ้าน ตลอดจนให้พระภิกษุสามเณรบิณฑบาตได้สะดวกยิ่งขึ้นโดยเฉพาะในช่วงหน้าฝน ทั้งนี้มีความเชื่อกันว่าหากได้มายืนอยู่กลางสะพานแล้วอธิษฐานขอความสำเร็จใด ๆ ก็จะพบกับความสมหวังกลับไป จึงทำให้ปัจจุบันสะพานแห่งนี้ได้กลายเป็นสถานที่ที่มีนักท่องเที่ยวเดินทางมาเที่ยวชมมากที่สุดอีกแห่งของจังหวัดแม่ฮ่องสอนอีกด้วย


10. ทุ่งดอกบัวตอง ดอยแม่เหาะ

           เป็นทุ่งดอกบัวตองสีเหลืองอร่ามที่อยู่ริมทางหลวงแผ่นดินหมายเลข 108 ตรงหลักกิโลเมตรที่ 84 เขตตำบลแม่เหาะ ซึ่งเป็นที่ตั้งของศูนย์พัฒนาและสงเคราะห์ชาวเขา และยังเป็นเส้นทางหลวงสายท่องเที่ยว เพื่อมุ่งสู่เมืองจังหวัดแม่ฮ่องสอนอีกด้วย เมื่อผ่านมาบริเวณนี้จะเต็มไปด้วยดอกบัวตองสีเหลืองสดที่บานสะพรั่งรายล้อมข้างทางยาวกว่า 2 กิโลเมตร ดอยแม่เหาะยังมีที่เที่ยวอีกมากมายที่น่าสนใจ อาทิ "น้ำตกแม่สวรรค์น้อย" ที่มีจุดชมพระอาทิตย์ตกที่สวยงามมากอยู่ที่ดอยหว่ากลึโจ๊ะ และในช่วงเช้ายังเป็นดินแดนแห่งทะเลหมอกที่สวยน่าชมอีกแห่งหนึ่งด้วย นอกจากนี้ยังมีบ้านพักโฮมสเตย์ สถานที่กางเต็นท์พักแรม รวมไปถึงร้านอาหาร และร้านกาแฟ


ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น